วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554


สายใยรัก  จากพ่อแม่สู่ลูกน้อยวัยเรียน
คุณแม่ครับ.....ผมทำเลขไม่ได้ครับ
 คุณแม่ครับ.....ช่วยผมเตรียมอุปกรณ์ ก.พ.อ.หน่อยครับ  คุณครูให้นำไปส่งวันพรุ่งนี้
 คุณพ่อครับ.....ศัพท์คำนี้แปลว่าอะไรหรือครับ
 คุณพ่อครับ.....ผมทำการบ้านไม่ได้ครับ
 คุณแม่ครับ.....ผมเหงาจังครับ
 และ.....คุณพ่อคุณแม่ครับ.....ผมสอบตกครับ
 คำพูดเหล่านี้ที่พรั่งพรูออกมาจากปากลูกน้อยของท่านล้วนมีความหมายมาก  คุณพ่อคุณแม่คะ  ท่านให้เวลากับลูกน้อยของท่านมากพอหรือยังคะ  หลาย ๆ ท่านอาจตอบว่า มากพอแล้ว แต่อีกหลายท่านอาจตอบว่ายังไม่พอ  มาให้เวลากับลูกและให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกกันเถิด ก่อนที่จะสายเกินแก้ ลูกต้องการคำชี้แนะและกำลังใจจากพ่อแม่มาก  โดยเฉพาะช่วงวัยประถมศึกษา  ซึ่งเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต  หากลูกมีพื้นฐานที่ดีในวัยนี้แล้ว  เปรียบเสมือนรากฐานมี่มั่นคงของชีวิต  ลูกพร้อมจะเติบใหญ่เป็นบุคคลที่สมบูรณ์และมีคุณภาพ  ในทางกลับกันหากลูกไม่ได้รับการเอาใจใส่ในวัยเด็กดีพอ  ลองหลับตาคิดดูว่าเด็กจะเติบโตมาเป็นบุคคลลักษณะใด  อาจจะสายเกินแก้  ท่านอาจจะเสียใจในตอนหลัง  ซึ่งเวลาอันงดงามเหล่านี้ไม่อาจเรียกร้องให้กลับคืนมาได้เลย
มีคำกล่าวว่า "พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก"  "พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดของลูก"  นักจิตวิทยาหลาย ๆ ท่านแนะนำว่า  การให้ลูกน้อยของท่านนั่งทำการบ้านอยู่กับท่าน  โอบกอดเขา ชมเชยเขา ให้กำลังใจเขา แนะนำปลอบโยนเขา ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกมั่นคง มีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่ดี และเป็นบุคคลที่สังคมต้องการ
 คุณพ่อคุณแม่ครับ อย่าคิดว่าท่านสอนลูกของท่านไม่ได้ อย่ากลัวว่าจะสอนไม่ตรงกับแนวที่ครูสอน อย่ากลัวไปเลยค่ะ ความจริงแล้วท่านสามารถสอนลูกของท่านได้....ได้ดีทีเดียว  เพราะเนื้อหาวิชาในระดับประถมศึกษาไม่มีอะไรซับซ้อนมาก  หากท่านกังวลว่าจะสอนไม่ตรงแนวเดียวกันกับครู  วิธีแก้คือ ศึกษาแนวทางการสอนของครู  จากสมุดแบบฝึกหัดและหนังสือของลูก  การให้ลูกท่องศัพท์ สูตรคูณ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทุกวันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเรียนของลูกได้ดียิ่งขึ้น
ต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปฏิบัติ  เพื่อพัฒนาตัวลูกให้มีความพร้อมด้านการเรียน
 1. หมั่นตรวจดูกระเป๋าหนังสือลูกทุกวัน  เพราะการตรวจกระเป๋าของลูกท่านจะได้ทราบภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับการเรียนของลูก ดูสมุดทุกเล่ม อาจมีงานที่ลูกจดไม่ทัน การบ้านอาจจะยังทำไม่เสร็จ หรือทำไปแล้วผิดพลาดมาก จะได้มีเวลาแก้ไขได้ทัน และอย่าลืมตรวจดูว่าลูกนำของต้องห้ามไปโรงเรียนด้วยนะคะ เช่น ของเล่น  หนังสือการ์ตูน (โป๊)
2. เซ็นสมุดจดการบ้านให้ลูกทุกวัน  เพราะการเซ็นสมุดจดการบ้านท่านจะได้ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับตัวลูก  บางทีครูอาจจะเขียนเตือนด้านความประพฤติ การทำงาน หรือสิ่งต่างๆ ที่ต้องการสื่อถึงผู้ปกครองลงในสมุดจดการบ้าน  และอีกทั้งยังจะได้ทราบว่า ลูกมีการบ้านวิชาใด มากน้อยแค่ไหน ต้องเตรียมอะไรบ้างในวันต่อไป มีกิจกรรมอะไรในวันรุ่งขึ้น
 3. จดหมายเวียนต่าง ๆ ทางโรงเรียนจะแจ้งข่าวสารต่าง ๆ ทางจดหมายเวียน  และส่วนท้ายของจดหมายเวียนจะมีใบตอบรับจากผู้ปกครอง  อย่าลืมเซ็นให้ลูกทุกฉบับ  เพื่อครูจะได้มั่นใจว่าจดหมายเวียนทุกฉบับถึงมือท่านแล้ว  นักเรียนหลาย ๆ คนไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็น  เมื่อถูกทวงถามบ่อย ๆ ลูกของท่านอาจขาดความมั่นใจได้
4. หาโอกาสพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ ไต่ถามเรื่องราวเมื่อลูกอยู่ที่โรงเรียน  ควรรับรู้ว่าลูกสนิทกับเพื่อนคนใดบ้าง  และถ้าเป็นไปได้ควรหาโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนของลูก  เพราะบางทีเราจะได้ข้อมูลของลูกจากเพื่อนเหล่านี้ก็ได้  การพูดคุยกับลูกจะมีโอกาสทราบว่า  ลูกชอบวิชาใด  กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน  คุณครูที่ลูกชอบ ฯลฯ  ลูกจะภูมิใจที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับเขา  สนใจเขา  และจะนำมาซึ่งความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวในที่สุด
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อ คุณแม่ทุกคนนะคะ  สวัสดีค่ะ
ครูฟ้า

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"ทฤษฎี7" สร้างพลังสมองให้ลูก


          ทฤษฎีโภชนาการ 7 กลุ่มอาหาร เหมาะสำหรับยุคสมัย มั่นใจว่าได้สารอาหารครบถ้วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมอง สติปัญญา และร่างกายเหมาะสำหรับยุคสมัย มั่นใจว่าได้สารอาหารครบถ้วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมอง สติปัญญา และร่างกายเพื่อลูกน้อยเติบโตแข็งแรงสมวัยอย่างเต็มศักยภาพขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสมองและนักโภชนาการ ย้ำ 7 กลุ่มอาหารสร้างไอคิวได้         

          ดร. ขวัญ หาญทรงกิจพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพสมองในเด็ก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกาเผยว่า เด็กจะมีพัฒนาการทางสมองอย่างเต็มที่ได้จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบ เพราะช่วงนี้เซลล์สมองจะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุด จึงถือเป็นโอกาสทองสำหรับพ่อแม่ในการสร้างเสริมพลังสมองและสติปัญญาแก่ลูกน้อย

          “อาหารที่มีคุณภาพเป็น 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสมองในเด็ก นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องพันธุกรรมและกระบวนการเรียนรู้ผ่านสิ่งแวดล้อม การดูแลเอาใจใส่ให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ ให้คุณค่าสารอาหารที่ดีครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจึงมีส่วนสำคัญมากในการสร้างเสริมสติปัญญา วางรากฐานเพื่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ในทุกๆ ด้านต่อไป”

          ดร. ขวัญย้ำในเวทีเสวนาวันนี้ว่า “ความแตกต่างของระดับสติปัญญาของคนเราขึ้นอยู่กับสมองของใครมีเยื่อไมอีลิน หรือเปลือกหุ้มเส้นใยประสาทที่เติบโตเต็มที่มากกว่ากัน เพราะเยื่อไมอีลินเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง ที่ส่งผลต่อความฉลาดและสติปัญญา ช่วยในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและแม่นยำขึ้น ฉะนั้น การกระตุ้นให้เยื่อไมอีลินเติบโตอย่างเต็มที่จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างเสริมพลังสมองในเด็ก โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเยื่อไมอีลินของลูกให้เพิ่มขึ้นได้จากอาหารที่ดีมีคุณภาพ และการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ โดยทฤษฎี 7 กลุ่มอาหารที่แนะนำในวันนี้ เป็นหลักการที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและร่างกายทั้งหมด มีบทบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมองได้เป็นอย่างดี”

          ด้าน เกศกนก สุกแดง นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลศิริราช ย้ำว่า การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนเป็นผลดีต่อคนทุกเพศทุกวัย ทฤษฎี 7 กลุ่มอาหารเป็นหลักโภชนาการที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเด็กวัย 1-3 ขวบซึ่งเป็นวัยทองแห่งพัฒนาการทางสมอง เพราะเป็นทฤษฎีที่เมื่อนำไปใช้ทำให้มั่นใจได้ว่าร่างการจะได้รับสารอาหารครบถ้วนและสมดุล แถมยังง่ายต่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

          ตามหลักการของทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร ร่างกายต้องการชนิดอาหารในแต่ละวัน ดังนี้

          กลุ่มที่ 1 ธัญพืช อุดมไปด้วยกลุ่มวิตามินบี ซึ่งช่วยพัฒนาเรื่องความจำ และกรดโฟลิคที่จำเป็นต่อการพัฒนาระบบประสาทของเซลล์

          กลุ่มที่ 2 ผัก แหล่งรวมวิตามินซึ่งช่วยเรื่องกระบวนการคิดการเรียนรู้

          กลุ่มที่ 3 ผลไม้ เช่น สตอเบอร์รี่ ถ้าทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงสมอง

          กลุ่มที่ 4 น้ำมัน ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างเยื่อไมอีลิน

          กลุ่มที่ 5 นม มีสารอาหารซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเยื่อประสาท

          กลุ่มที่ 6 เนื้อสัตว์ มีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองในเวลาที่เกิดความเครียด

          กลุ่มที่ 7 ถั่ว ซึ่งเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุนานาชนิดทั้งแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

          โดยทฤษฎี 7 กลุ่มอาหารนี้จำแนกอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในแต่ละวัน ตามชนิดของอาหาร ผู้บริโภคจึงสามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ และปฏิบัติตามได้ง่ายในชีวิตประจำวันไม่เกิดความสับสนในการเลือกรับประทาน และยังได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล

          “ใน 1 วัน เราควรรับประทานเนื้อสัตว์และถั่ว เพื่อให้เกิดความสมดุล เพราะการบริโภคโปรตีนจากเนื้อมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อตับและไต โปรตีนจากพืชจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักมากจนเกินไป และยังมีใยอาหารและแร่ธาตุต่างๆ อีกด้วย”

          เกศกนก ยกตัวอย่างเมนูอาหารเช้าเพื่อสุขภาพตามทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร คือ นม 1 แก้ว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว 1 แผ่น สลัดผักผลไม้ ใส่ปลาแซลมอน หรือไข่ต้ม เพียงเท่านี้ก็จะได้สารอาหารเพียงพอแล้ว และควรทานทุกมื้อให้ครบ 7 กลุ่มอาหาร

เมนูเพื่อลูกรัก

วงจรชีวิตของมนุษย์เริ่มตั้งแต่วัยเด็กทารก มีช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ เรียกกันง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งวัยเด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญอย่างมากที่สุด เพราะจะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคม โดยเฉพาะเด็กก่อนวัยเรียน ที่อยู่ในช่วงอายุ 3 - 5 ขวบ เป็นวัยที่ถือว่า "วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ" ที่มีการเปลี่ยน แปลงจากวัยทารก ก้าวสู่ความพร้อมที่จะเรียนรู้ สังคมภายนอกที่กว้างออกไป จากสังคมปิดภายในครอบครัว ดังนั้นเราจึงควร สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กของเรา เพื่อไปเผชิญต่อสภาวะภายนอกบ้าน โดยเริ่มที่เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องแรก เพราะนี่คือพื้นฐานสำคัญ
1. อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญ แม้จะเร่งรีบสักปานใด ก็ต้องกินอาหารเช้า เพราะเป็นอาหารมื้อที่มีผลต่อการพัฒนาทางร่างกายและสติปัญญาควรเตรียมให้ พร้อม เด็กหลายคนต้องตื่นแต่เช้า อาจยังไม่รู้สึกอยากรับประทานอาหาร ควรสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากรับประทาน ทำอาหารที่เด็กชอบ และสร้างสรรค์เมนูใหม่ ไม่ให้เกิดความจำเจ
2. ฝึกให้เด็กมีนิสัยชอบกินผัก ซึ่งเรื่องของการกินผักกับเด็กค่อนข้างจะเป็นปัญหาใหญ่ เด็กหลายๆคนมักไม่ชอบผักเอาเลย เราลองย้อนมาดูสาเหตุกันซิว่าทำไมเด็กไม่ชอบ ซึ่งจะพบว่า ส่วนใหญ่แล้วที่ไม่ชอบก็เพราะว่า ผักมีกลิ่นแรง รสไม่อร่อย ฉะนั้นการเริ่มต้นฝึกการกินผักโดยเลือกผักที่มีสีและน่าตาน่ารับประทาน เช่น แครอท ดอกกะหล่ำ แตงกวา บรอกโคลี เป็นต้น ใส่ลงไปชิ้นเล็ก ๆ ในอาหารก่อน เช่น ในข้าวผัด ซุป แกงจืด เป็นต้น หรือนำไปประกอบอาหารที่เด็กชอบ เอาไปชุบแป้งทอด ผสมในหมูสับทอด หรือนำไปลวกให้กลิ่นหายไปบ้าง นำมาคลุกเนยหรือ น้ำตาลเล็กน้อยเป็นการปรับรสชาติหรือหั่นเป็นชิ้น ๆ แช่เย็นจะทำให้มีความกรอบที่เด็กชอบ
3. สร้างนิสัยช่วยตัวเอง เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยตัวเองในเรื่องต่างๆ เช่น แปรงฟัน ทานข้าว แต่งตัว โดยผู้ปกครองคอยแนะนำ คอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดเท่านั้น ในครั้งแรกอาจทำให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน จำไว้นะค่ะ ผิดถูกไม่เป็นไร ช่วยอยู่ห่าง ๆ คอยสอน คอยให้กำลังใจ อย่างใจเย็นๆในที่สุดเด็กน้อยของเราก็จะทำได้
4. เปิดโอกาสให้เรียนรู้จากเพื่อนวัยเดียวกัน การทำเช่นนี้เป็นการเรียนรู้ทางสังคมที่สำคัญ เด็กจะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้จักปรับตัว
5.ประการสุดท้าย ขอย้อนกลับมาที่เรื่องอาหารที่ไม่ควรมองข้าม เด็กวัยนี้ส่วนใหญ่มักติดใจรสหวานและซ่าของน้ำอัดลม ในน้ำอัดลมจะประกอบด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรให้เด็กหลีกเลี่ยง

อย่าลืมนะค่ะ เด็กมักทำตามผู้ใหญ่ฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดคนในบ้านต้องทำเป็นตัวอย่าง
วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนสำหรับการสร้างเด็กให้มีสุขภาพดี และมีตำรับอาหารเด็กมาฝากกันเช่นเคย 2 ตำรับค่ะ ลองเอาไปทำให้เด็ก ๆรับประทานกันนะค่ะ


หมูม้วนสาหร่ายไข่กุ้ง

ส่วนผสม
หมูบด 1 ถ้วยตวง
กุ้งสับ 1 ถ้วยตวง
ไข่กุ้ง ¼ ถ้วยตวง
รากผักชีกระเทียมพริกไทยโขลกละเอียด ½ ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนชา
แผ่นสาหร่าย
แครอท บรอกโคลี มะเขือเทศ
วิธีทำ
1.ผสมหมูบด กุ้งสับ รากผักชีกระเทียมพริกไทย ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ซอสหอยนางรมและแป้งข้าวโพด นวดให้เข้ากัน พักไว้ 10 นาที
2.วางแผ่นสาหร่ายบนเขียง ตักส่วนผสมในข้อที่1 ทาให้ทั่วแผ่นแล้วทาทับด้วยไข่กุ้งม้วนเป็นแท่ง
3.นำไปนึ่งจนสุก ยกลงพักให้เย็นจึงมาหั่นชิ้นเสิร์ฟกับน้ำจิ้มและผักตามชอบ







ผลไม้ถ้วยซี๊ด

ส่วนผสม
แอปเปิลสีเขียว สีแดง 1 ถ้วยตวง
สับปะรด 1 ถ้วยตวง
องุ่น 1 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว ¼ ถ้วยตวง
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
ไข่เป็ดต้มสุก 12 ฟอง
เบคอนหั่นสี่เหลี่ยมเล็กทอกกรอบ ½ ถ้วยตวง
ขนมปังกรอบ
เกลือป่น

วิธีทำ
1.เตรียมผลไม้โดยหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก แช่น้ำเย็นผสมเกลือป่นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผลไม้ดำตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
2.ผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน
3.ไข่เป็ดต้มนำมาปอกเปลือกตัดด้านบนและควักไข่แดงออก
4.ตักผลไม้กับเบคอนที่เตรียมไว้ใส่ลงในไข่ 
5. เวลาเสิร์ฟจึงใส่น้ำยำลงไปเสิร์ฟทันทีกับขนมปังกรอบ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลูกเราสมาธิสั้นหรือเปล่า

บาง ครั้งพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่สงสัยได้ว่า ลูกเราปกติหรือไม่ เพราะบางท่านได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดปกติ แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดพอ หรือเกิดอาการไม่แน่ใจพัฒนาการของลูกว่าปกติหรือไม่ โดยเฉพาะอาการสมาธิสั้น ซึ่งดูออกค่อนข้างยาก ฉบับนี้เราจึงนำเสนอข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการสังเกตพฤติกรรมและพัฒนาการ ว่าลูกเข้าข่ายสมาธิสั้นหรือไม่ ถ้าใช่จะได้หาทางแก้ไขได้ทันค่ะ

รู้จักโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น เป็นความผิดปกติของพฤติกรรมและอารมณ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเด็กก่อนอายุ 7 ปี เกิดจากความผิดปกติของสมอง และมีผลพอจะพิสูจน์ได้ว่าน่าจะเป็นผลมาจากพันธุกรรม แต่จะมีวิธีการถ่ายทอดมาอย่างไรนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน แต่มีการบ่งบอกว่ามีสมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสมาธิ ทำงานไม่สัมพันธ์กับระบบสั่งงานอื่นๆ

เด็กจะมีลักษะซน ไม่อยู่นิ่ง ไม่มีสมาธิ หุนหันพลันแล่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข จะทำให้มีปัญหาพัฒนาการด้านต่างๆ ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน และการเข้าสังคม ซึ่งอาการที่กล่าวไปเบื้องต้นนี้เอง ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนเป็นห่วง และเกิดความเข้าใจผิดว่าลูกเราผิดปกติหรือไม่

1. ไฮเปอร์แอกทีฟ (Hyperactivity)
คือ มีความบกพร่องทางพฤติกรรม มีอาการซนมากผิดปกติ ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ สังเกตจาก
- ไม่รู้จักระวังตัวเอง จนทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ 
- อยู่ไม่สุก นั่งอยู่กับที่ไม่ค่อยได้ อยู่ไม่นิ่ง วุ่นวาย กระสับกระส่าย
- พูดคุยมากผิดปกติ ชอบพูดขัดจังหวะ ช่างฟ้อง รบกวนผู้ใหญ่ขณะพูดคุยมากเกินไป
- เล่นคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้ ลุกลี้ลุกลน ใจร้อน อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่มีความอดทนในการรอคอย

2. สมาธิบกพร่อง (Inattentive)
- ทำกิจกรรมตามลำพังได้ไม่ดี ฟังคำสั่งยาวๆ จับใจความไม่ค่อยได้
- ทำกิจกรรมหนึ่งให้สำเร็จได้ลำบาก
- ขาดสมาธิ หรือความตั้งใจในการทำงานที่มีรายละเอียด
- ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าได้ง่ายมาก เหม่อลอยง่าย
- ขี้ลืม ทำของหายบ่อย ขาดการจัดการวางแผนงานที่ดี

3. มีความบกพร่องในการคิดวางแผน (Impulsivity)
- ไม่รู้จักอดทน รอคอยไม่เป็น ใจร้อน วู่วาม ไม่ยั้งคิด
- เบื่อง่าย ควบคุมให้ตัวเองอยู่ในระเบียบ หรืออยู่ในกฎได้ยาก 
- หงุดหงิด โมโหง่าย 
- ชอบพูดแทรก หรือมักตอบคำถามก่อนที่ผู้ถามจะถามจบ มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น

เด็กที่มีปัญหาในเรื่องสมาธิ มักถูกมองว่าเป็นเด็กไม่ตั้งใจเรียน ชอบรบกวนเพื่อนๆ ผลการเรียน ไม่ดี ถูกครูลงโทษบ่อยกว่าเด็กคนอื่น และมักถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อ เด็กซน นิสัยไม่ดี เป็นต้น

การที่จะบอกว่าเด็กคนไหนเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ จะใช้เกณฑ์การเปรียบเทียบความสามารถทั่วๆ ไปในกลุ่มเด็กปกติในการตัดสิน เช่นเด็ก 7 ขวบ สามารถนั่งอยู่กับที่ได้นาน 15-30 นาที แต่ถ้าเด็กคนนั้นไม่สามารถนั่งได้ / เด็กนั่งเรียนอยู่ หรือ อ่านหนังสือ แค่เสียงของตก กิ่งไม้ตกก็วอกแวกได้ง่ายมาก ก็อาจจะสงสัยไว้ก่อน

อาการสมาธิสั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยา ร่วมกับการปรับพฤติกรรม ด้วยการดูแลใส่ใจอย่างใกล้ชิดจากคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้น ถ้าสงสัยว่าลูกจะมีอาการนี้หรือไม่อาจจะพบแพทย์เฉพาะทาง แต่ถ้าเทียบดูแล้วลูกมีพัฒนาการปกติ หรือซนแบบปกติ ก็ยังไม่ต้องกังวล หรือเหมารวมว่าลูกจะเป็นนะคะ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ปลูกฝังเรื่องการเรียนแบบครอบครัวญี่ปุ่น

วัฒนธรรมญี่ปุ่นสอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่รวมเป็นกลุ่มโดยให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าจะให้รางวัลเป็นบุคคล การศึกษาของญี่ปุ่นเน้นหนักในเรื่องความขยัน การตำหนิตนเอง และอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าการทำงานหนักและความขยันหมั่นเพียรจะทำให้ประสพความสำเร็จในชีวิต โรงเรียนจึงอุทิศให้กับการสอนทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรมให้กับนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม


เพื่อที่จะพัฒนาอุปนิสัยและมีเป้าหมายในการสร้างประชากรที่สามารถอ่านออกเขียนได้ และปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมและวัฒนาธรรมของสังคมได้ เขามองว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่น่าเคารพยกย่อง และความสำเร็จเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จในงานและในสังคม ที่กล่าวคือปัจจัยหลักในการเสริมสร้างความฉลาดแบบคนญี่ปุ่น ซึ่งบ้านเราเองก็สามารถนำมาปรับใช้และสร้างให้เด็กของเรามีความฉลาดในแบบของเราเองได้เช่นกันนะคะ


Tips เพิ่มความฉลาดให้กับลูกน้อย

• รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ เช่น ปลาเต้าหู้
• อาหารมื้อเที่ยงสำคัญ เด็กๆ ควรกินให้ครบ 5 หมู่ และถูกหลักโภชนาการ
• ดื่มนมเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพราะมีสารอาหารที่ช่วยในการพัฒนาสมอง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ดีต่อการเจริญเติบโตของร่างการ
• เลี้ยงลูกแบบให้เวลาและทำทุกอย่างเองให้กับลูกอย่างเต็มที่ด้วยความภูมิใจและเต็มใจ
• สอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่รวมเป็นกลุ่ม สร้างอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี

กลับไปวันหยุดคริสต์มาส, วันเกิดและวันหยุด. ๆ ของเราสงสัยว่า ของเล่นปลอดภัย การให้ลูกคุณ?

การเลือกของเล่นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก???

จากหนึ่งปีเพื่อ

Manhattan Toy Winkel Safe toys
ของเล่นอยู่ในหมู่ผู้ซื้อที่สำคัญที่สุดและเพื่อซื้อพวกเขาควรจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ. ใช้เวลาของคุณและอย่าซื้อสิ่งแรกที่คุณเข้าใจโดยสัญชาตญาณ. เลือกอย่างระมัดระวังและสะท้อนให้เห็นถึงในจุดต่อไปนี้:

ของเล่นสำหรับเด็กวัยหัดเดิน Safe

อ่านต่อ

คำค้นหาที่เข้ามา:

  • ของเล่นปลอดภัย เพื่อให้สำหรับเด็กเล็ก
  • ของเล่นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก
1 Star2 Stars3 Stars4 Stars5 Stars (ยังไม่มีการให้คะแนน)
Loading ... กำลังโหลด ...

กิจกรรมสำหรับเด็กที่บ้าน

กิจกรรมสำหรับเด็ก
วันหยุดเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว. เด็กไม่ควรดูทีวีและเล่นเกม. ควรจะมีกิจกรรมกลางแจ้งบาง. เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง. ลองมาดูกิจกรรมที่น่าสนใจ. สนุกด้วยกันที่บ้านของเรา.
ทรายเล่น
ทรายเล่นเป็นกิจกรรมราคาถูก. เด็กมีความสนุกสนานและเล่นหลายคน. เด็ก ๆ จะได้สนุกกับการเล่นกับจินตนาการทราย. ผู้ปกครองควรแนะนำเด็ก. ระวังทรายในตาของคุณ. อย่าตักทรายจากเพื่อนหัว.
fun activities
กิจกรรมสนุก ๆ
อ่านต่อ

คำค้นหาที่เข้ามา:

  • บ้านเป่าลม little tikes
1 Star2 Stars3 Stars4 Stars5 Stars (1 คะแนนโหวต, ค่าเฉลี่ย: 5.00 ออกมาจาก 5)
Loading ... กำลังโหลด ...

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ประเภทและอันตรายจากแป้งฝุ่น

ประเภทและอันตรายจากแป้งฝุ่น
แป้งฝุ่น เป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศอบอ้าว แป้งฝุ่นโรยตัวจะช่วยให้รู้สึกสบายตัวหลังอาบน้ำลดการเหนียวเหนอะหนะของผิว หนัง นอกจากนี้แป้งฝุ่นโรยตัวที่มีส่วนผสมของเมนทอลจะได้รับความนิยมมาก เพราะจะช่วยให้รู้สึกเย็นสดชื่น นอกจากจะนิยมใช้แป้งฝุ่นโรยตัวหลังอาบน้ำแล้วยังอาจใช้ภายหลังโกนหนวดเพื่อ กลบหรือเคลือบผิวหนังที่โกนใหม่ ๆ ให้ดูเรียบร้อยขึ้น และลดการระคายเคืองได้
แป้งฝุ่นโรยตัวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. แป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก
2. แป้งฝุ่นโรยตัวทั่วไป
คำนิยามของ "แป้งฝุ่นโรยตัว" นั่นหมายถึง สิ่งปรุงที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด หรืออนินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำซึ่งอาจแต่งกลิ่นหรือสี หรือแต่งทั้งกลิ่นและสีเพื่อใช้กับร่างกายหรือเสริมความงาม
แป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก ใช้สำหรับโรยตัวทารก (อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 สัปดาห์) เด็กอ่อน(ตั้งแต่ 2 สัปดาห์จนถึง1ปี)และเด็กเล็ก (1-4 ปี) เพื่อดูดซับความเปียกชื้นของผิวหนังช่วยหล่อลื่นผิวหนังป้องกันการระคาย เคืองจากผ้าอ้อม หรือเครื่องนุ่งห่ม ดังนั้นจะพบว่าแป้งฝุ่นโรยตัวเด็กมีความละเอียดมากและจะต้องมีความ ปลอดภัยสูง เช่น ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ทำให้ผิวหนังบวมแดง และต้องมีคุณสมบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 ดังนี้
ต้องไม่มีวัตถุห้ามใช้หรือวัตถุใดหรือสารใดที่เป็นอันตรายหรือไม่ปลอดภัยใน การใช้และใช้สีผสมที่ถูกต้อง ต้องไม่มีสารปนเปื้อน เว้นแต่ สารหนูให้มีปนเปื้อนได้ไม่เกิน 5 ส่วนในล้านส่วน โดยน้ำหนัก โซลูเบิลแบเรียมให้มีปนเปื้อนได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนัก ปรอทให้มีปนเปื้อนได้ไม่เกิน0.5 ส่วนในล้านส่วนโดยน้ำหนัก ตะกั่วให้มีปนเปื้อนได้ไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วนโดยน้ำหนัก ต้องไม่มีกรดบอริกและ/หรือเกลือบอเรต เมนทอล การบูร และต้องไม่มีสปอร์ดูดขน
นอกจากอันตรายจากสารพิษต่าง ๆ แล้ว เชื้อจุลินทรีย์ในแป้งฝุ่นโรยตัวนั้นก็อาจก่อให้ เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน เช่น
สตาฟิโลคอกคุสออเรอุส เป็นเชื้อจุลินทรีย์รูปกลม อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อาศัยอยู่ตามผิวหนัง ลำคอ จมูก และลำไส้ของคน เป็นต้น ต้นเหตุสำคัญที่สุดในการเกิดหนอง ฝี สิว ถ้าผิวหนังมีบาดแผลหรือรอยถลอก เชื้อนี้จะสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลนี้และทำให้เกิดหนองหรือถ้าในภาวะ ที่ร่างกายมีความต้านทานต่ำ เชื้อนี้ก็จะเข้าแทรกซ้อนได้
ซาลโมเนลลา เป็นเชื้อจุลินทรีย์รูปแท่ง พบในลำไส้ของคนและสัตว์ สามารถสร้างท๊อกซินทำให้เกิดอาการไข้และโรคอาหารเป็นพิษ ทางสาธารณสุขจัดเชื้อ ซาลโมเนลลาเป็นเชื้อที่มีอันตรายร้ายแรง
ซูโดโมนาสแอรูจิโนซา เป็นเชื้อจุลินทรีย์ชนิดแท่ง อาศัยอยู่ในน้ำ ดิน ของเน่าเสีย บางครับพบในลำไส้ของคนและสัตว์ เชื้อนี้มักจะแทรกซ้อน เช่น กรณีร่างกายได้รับอุบัติเหตุ เกิดบาดแผล หรือรับการผ่าตัด ร่างกายจะมีความต้านทานน้อยลง เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไปอาจทำให้ถึงตายได้ ซูโดโมนาส นี้ยังดื้อต่อยาฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้ ดังนั้น จึงเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่าย
โคสตริดิอุม เป็นเชื้อจุลินทรีย์รูปแท่งนี้ไม่ต้องใช้ออกซิเจนในการเจริญเติบโตเป็น สาเหตุของการเกิดเน่าตายของเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะหลาย ๆ แห่ง เช่น ระบบอวัยวะสืบพันธุ์และกระเพาะปัสสาวะ และทำให้เกิดอาหารของโรคอาหารเป็นพิษนอกจากนี้ อันตรายที่เกิดจากมีสารข้ามใช้เกินมาตรฐาน ตลอดจนการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์แล้ว ส่วนประกอบอื่น ๆ ก็ไม่ควรมองข้ามไป เช่น ภาชนะบรรจุ ควรจะต้องสะอาดถูกสุขลักษณะ ไม่เป็นสาเหตุของการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ และสารต่าง ๆ ควรมีการป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นละออง ในขณะที่วางจำหน่ายในท้องตลาด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นได้มาตรฐานจนถึงมือผู้บริโภค
การที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดสัดส่วนและห้ามใช้สารบางชนิดผสมในแป้งฝุ่นโรย ตัวเพราะสารเหล่านั้นมีอันตรายหรือพิษภัยซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. สารหนู เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่ปะปนอยู่กับแร่ธาตุอื่น ๆ มักใช้เป็นส่วนผสมในการกำจัดแมลงผสมในสี หรือแม้แต่ในกระดาษปิดฝาผนัง ถ้าได้รับและสะสมอยุ่ในร่างกายปริมาณมากจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยแบบเรื้อรัง ซึ่งอาการของโรคมักแสดงออกทางผิวหนังทำให้ผิวหนังมีสีดำที่รู้จักกันว่า "ไข้ดำ" มีการหนาของผิวหนัง อาการอื่นได้แก่ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องร่วง ซีด ชาตามปลายมือปลายเท้า ถ้าได้รับติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งของปอดตับ กระเพาะปัสสาวะตลอดจนมะเร็งเม็ดเลือด
2. โซลูเบิลแบเรียม มักใช้เป็นส่วนผสมในสารกำจัดศัตรูพืช แบเรียมสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางปาก ถ้าได้รับจำนวนมากเป็นเวลานานจะทำให้ตึงบริเวณกล้ามเนื้อของใบหน้า คอ อาจมีการอาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย หัวใจวาย และเสียชีวิตได้
3. ปรอท เป็นธาตุที่เป็นของเหลว สารประกอบของปรอทใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สี เครื่องไฟฟ้า เป็นต้น ปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางปากและการสูดดม ถ้าได้รับติดต่อกันนานจะเกิดสะสมในร่างกาย จะทำให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ไต ระบบทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งระบบประสาท
4. ตะกั่ว ส่วนประกอบของตะกั่วนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สี แบตเตอรี่ของเล่น หรือในน้ำมันเชื้อเพลิง ตะกั่วสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางปาก การหายใจหรือโดยการสัมผัส ถ้าได้รับติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เกิดการสะสมของตะกั่ว และทำให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบประสาทส่วนกลางโดยเฉพาะทารกและเด็กเล็กจะได้รับพิษรวดเร็วและอาจ รุนแรงถึงพิการทางสมองได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะพิการตลอดชีวิตถึงร้อยละ 50 เมื่อตะกั่วเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตไปจับกับเม็ด เลือด ทำให้เกิดอาการโลหิตจาง ตะกั่วบางส่วนไปสะสมในกระดูกโดยเข้าแทนที่แคลเซี่ยม ซึ่งเป็นโลหะที่จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน ทำให้มีอาการปวดตามข้อ กระดูกผุ อาจสะสมที่รากฟันและทำให้เกิดเส้นสีดำหรือสีม่วงบริเวณเหงือก เรียกเส้นตะกั่วและสามารถสะสมในไขมัน ระบบประสาท สมอง คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง มีอาการทางประสาท กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ปวดและเป็นตะคริว โดยเฉพาะที่ขา ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ประสาทสัมผัสผิดปกติ เซื่องซึมและอาจตายได้
5. กรดบอริก ใช้เป็นสารระงับเชื้อ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และทำให้แป้งลื่นไม่ติดกันกรดบอริก สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางปาก และทางผิวหนัง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง มีไข้ปัสสาวะไม่ออก
แป้งฝุ่นโรยตัวโดยทั่วไป ใช้โรยตัวได้ทุกวัย (ยกเว้นเด็กอ่อน เด็กทารก และเด็กเล็ก) เพื่อช่วยให้รู้สึกสดชื่น ทำให้ผิวลื่น ลดความเหนียวเหนอะหนะของผิวกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเสียดสีของผิวหนังกับเครื่องนุ่งห่ม ส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่ แป้งทัลคัมและน้ำหอม แป้งทัลคัมจะช่วยทำให้ผิวลื่น รู้สึกสบายตัวและมีคุณสมบัติในการปกคลุมผิว ดูดซับได้ที ทัลคัมมีหลายชนิดชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในแป้งฝุ่นโรยตัวจะต้องมีคุณสมบัติ ตามเภสัชตำรับน้ำหอมชนิดที่ใช้ผสมในแป้งฝุ่นนั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่ดีไม่ มีการเปลี่ยนแปลงเหม็นหืน หรือทำให้หสีของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงและที่สำคัญที่สุดคือติ้งไม่ทำให้เกิด การแพ้แก่ผู้บริโภคด้วยแป้งฝุ่นโรยตัวบางชนิดอาจมีส่วนผสมของสารระงับเชื้อ เช่น สารส้ม หรือกรดบอริกผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดซึ่งส่วนผสมของสารเหล่านี้จะต้องมีปริมาณ ไม่เกินที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เช่น กรดบอริก ต้องมีไม่เกินร้อยละ 3.0 โดยน้ำหนัก เมนทอล ต้องมี ไม่เกินร้อยละ 1.0 โดยน้ำหนัก การบูร ต้องมีไม่เกินร้อยละ 1.5 โดยน้ำหนัก นอกจากนี้ทั้งแป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก และแป้งโรยตัวทั่วไป จะต้องมีคุณสมบัติทางจุลชีววิทยาตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในประกาศ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อควรระวังในการใช้แป้งโรยตัวเด็ก ไม่ควรเทแป้งลงบนตัวเด็ก โดยตรงเพราะอาจจะทำให้ฝุ่น ผงละอองของแป้งกระจายเข้า จมูกและปากเด็กได้ อันอาจเป็น อันตรายต่อทางเดินหายใจ และถ้า ผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้มาตรฐานมีสาร พิษปนเปื้อนอยู่ก็จะทำให้เด็กได้รับ สารพิษโดยตรง
ข้อควรแนะนำในการซื้อผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัวตัว
1. ควรเลือกซื้อชนิดที่ภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่บุบ หรือฉลากเลอะเทอะเห็นไม่ชัด มีแผ่นกระดาษกาวหรือแผ่นพลาสติกหุ้มบริเวณฝาที่ใช้เทแป้ง
2. เมื่อใช้แป้งฝุ่นโรยตัวทุกครั้ง ควรปิดฝาให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของฝุ่นละอองพลัดตกลงไปในภาชนะบรรจุ
3. เมื่อใช้แป้งฝุ่นโรยตัวแล้ว พบว่ามีสีและกลิ่นของแป้งเปลี่ยนไปควรหยุดใช้ เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์
4. ไม่ควรซื้อแป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก ชนิดที่ตักแบ่งเพราะไม่ถูกสุขลักษณะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

เล่นกับเพื่อน...พัฒนาวัยคิดส์ได้ทุกด้าน

    เล่นกับเพื่อน...พัฒนาวัยคิดส์ได้ทุกด้าน

เล่นกับเพื่อน...พัฒนาวัยคิดส์ได้ทุกด้าน
โดย: อาราดา



เรา รู้กันอยู่แล้วว่าเด็กๆ นั้นจะสามารถเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนๆ ด้วยแล้ว จะช่วยพัฒนาทักษะได้มากมาย ทั้งสังคม อารมณ์ และจิตใจเลยล่ะค่ะ

เพื่อน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กทุกคน การได้เล่นกับเพื่อน จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน เด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีเพื่อนเยอะแยะจะมีความมั่นใจในตนเองค่ะ ที่สำคัญความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนนี้จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย

เล่นกับเพื่อน..ดี มีประโยชน์
ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ เมื่อ เด็กๆ เล่นด้วยกัน พวกเขาจะมีการแบ่งปัน ร่วมมือกัน และจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน แม้บางครั้งอาจมีเรื่องไม่ลงรอยเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเด็กๆ ก็จะเรียนรู้และหาวิธีจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เอง ผู้ใหญ่จึงไม่ควรรีบเข้าไปจัดการกับปัญหาแทนเด็ก
ยก เว้นกรณีที่มีการใช้กำลังตัดสินปัญหา คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบเข้าไปแยกทันทีและอธิบายให้เข้าใจว่า การใช้กำลัง เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเพื่อนไม่ทำกับเพื่อนค่ะ
ฝึกเลียนแบบบทบาทคนรอบข้าง เด็กๆ ชอบเล่นบทบาทสมมติทั้งนั้นค่ะ โดยเขาจะเลียนแบบพฤติกรรม การแสดงออก สีหน้าท่าทาง การทำงาน จากที่เห็นในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก อธิบายให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ลูกได้เห็น แบบไหนทำได้ และแบบไหนที่ไม่ควรทำ
เสริมความมั่นใจไม่ ว่าที่ไหนก็กล้าคิด กล้าพูด ขณะที่เด็กๆ เล่นกัน เขามีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในการเล่น ร่วมกันปรึกษาหารือ แสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งพูดโน้มน้าวเพื่อนๆ ให้คล้อยตาม ทั้งได้พัฒนาทักษะในการจัดการปัญหา
ดังนั้นการเล่นเป็นกลุ่ม หรือทำกิจกรรมกลุ่มนี้ จะทำให้เด็กๆ กล้าแสดงออก รู้จักเป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นตัวแทนกลุ่มได้
+ ค้นพบตัวเอง เด็กๆ จะทำแต่สิ่งที่ตนเองสนใจ พวกเขาอาจสร้างกองดิน วาดภาพ สำรวจโลกรอบตัว สร้างสรรค์ชิ้นงาน อ่านหนังสือ ฟังดนตรี เล่นกีฬา ฯลฯ การปล่อยให้เด็กๆ ได้คิดทำ คิดเล่นอะไรด้วยตัวเอง จะทำให้เขารู้ถึงความสามารถ และความสนใจเฉพาะของตัวเอง
ฉะนั้น อย่าบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่คุณสนใจ แต่ปล่อยให้เขาได้หาโอกาสสำรวจตัวเองว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร อยากทำอะไร แล้วสนับสนุนให้เขาทำตามนั้น
พัฒนาทักษะการสื่อสาร ขณะ ที่เด็กๆ เล่นด้วยกันจะมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีการคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง รู้จักสอบถามเพื่อน หรือเด็กคนอื่น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์อีกด้วย
..................................................

เตรียมพร้อมก่อนลุยเล่น
ก่อนให้ลูกเล่นกับเพื่อน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมการนิดหน่อย เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นตามมา ดังนี้...
สอนทักษะทางสังคมเบื้องต้น
การสอนทักษะทางสังคมให้กับลูกทำได้ง่ายๆ เพียงแค่...
- แสดงให้ลูกเห็นพฤติกรรมที่คุณแสดงออกทางสังคม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เขาเกิดการพัฒนาตนเอง เช่น การฟัง การประนีประนอม การทำงานท่ามกลางความขัดแย้ง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นต้น
- เล่นกับลูก ทำให้ลูกคุ้นเคยกับการเล่นแบบหมู่คณะ ขณะเล่นควรมีการแสดงความคิดเห็น และแบ่งปันสิ่งของให้แก่กัน
- สอนการทักทายขั้นพื้นฐาน เช่น สวัสดี ลาก่อน และการยิ้ม เป็นต้น
เลือกของเล่นให้เหมาะสม
เลือก ของเล่นและอุปกรณ์ในการเล่นที่เหมาะสมกับวัย ระลึกไว้เสมอว่า เด็กวัย 3-6 ปีนี้ บางคนยังไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องการแบ่งปันสิ่งของให้กับคนอื่นได้ จึงควรหาของเล่นที่ลูกสามารถเล่นคนเดียว และแบ่งกันเล่นกับเพื่อนได้ มาค่อยๆ ฝึกให้ลูกรู้จักการแบ่งปัน ซึ่งของเล่นที่เหมาะสมก็คือ...
- อุปกรณ์วาดภาพ ระบายสี
- หนังสือ ตัวต่อไม้ เลโก้
- ของเล่นที่เป็นเครื่องดนตรี
- ของเหลือใช้ที่สามารถนำมาเล่นบทบาทสมมติ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ชุดทำครัว ที่ไม่ใช้แล้ว
สถานที่เล่นสะดวก สนุก
หาก คุณชวนเพื่อนๆ ของลูก หรือเด็กคนอื่นมาเล่นที่บ้าน คุณสามารถเตรียมสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยให้การเล่นของลูกและเพื่อนสนุกสนานยิ่งขึ้น ดังนี้ค่ะ
- พื้นที่ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอ ไม่แน่นหรืออึดอัดจนเกินไป
- อุปกรณ์การเล่นเพียบพร้อม เพียงพอที่เด็กๆ จะเลือกทำกิจกรรม และสร้างสรรค์กิจกรรมการเล่นด้วยตัวเอง

กิจกรรมสนุก ปลูกทักษะรอบด้าน
มีกิจกรรมสนุกๆ มาแนะนำค่ะ รับรองว่า...กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเสริมทั้งพัฒนาการ และทักษะการเข้าสังคมให้กับลูกได้เป็นอย่างดี
เครื่องดนตรีแสนสนุก
ส่ง เสริมให้ลูกเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ร่วมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องดนตรีจ๋า ประเภทกีตาร์ กลอง ฉิ่ง หรอกค่ะ หาพวกกระป๋องใส่ถั่วเขียวทำเป็นเครื่องดนตรีเขย่า กระทะกลายสภาพมาเป็นกลองก็สนุกกันได้ ไม่ต้องวิ่งหาของจริงให้เหนื่อย แถมลูกยังรู้จักดัดแปลงอีกด้วย
ศิลปะสุดหรรษา
ศิลปะ เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เด็กรู้จักการแบ่งปันได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้เด็กๆ ได้วาด ระบายสิ่งต่างๆ บนกระดาษแผ่นใหญ่ พร้อมดินสอสีกล่องเดียว ที่พวกเขาจะต้องแบ่งกันใช้ คุณอาจเห็นว่าภาพแต่ละภาพที่พวกเขาวาดอาจแตกต่าง แต่สุดท้าย สิ่งที่จะได้เรียนรู้คือการเอื้ออาทร แบ่งปัน แถมยังได้เรื่องมิตรภาพจากการพูดคุยถึงสิ่งที่วาดกันอย่างสนุกสนานค่ะ
ปาร์ตี้แฟนซีเสื้อผ้าพ่อแม่
กล่อง ใส่เสื้อผ้าหลากชุดที่เหลือใช้แล้วของคุณ สามารถนำมาทำเป็นกิจกรรมให้เด็กๆ สนุกได้ ลองหาลังใบใหญ่ มาใส่เสื้อผ้าชุดเก่า หมวก ถุงมือ ถุงเท้า ฯลฯ ให้เด็กๆ เล่นสิคะ รับรองคุณจะได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกจากเด็กๆ ที่ได้เอาเสื้อผ้าชุดเก่าของคุณแม่ หรือเชิ้ตตัวเก่าของคุณพ่อมาสวมใส่เล่น จนเพลินเชียล่ะ
ตัวต่อพาเพลิน
ตัว ต่อไม้ หรือของเล่นพลาสติก เป็นที่โปรดปรานของเด็กวัยคิดส์ทุกคนค่ะ ปล่อยให้พวกเขาได้ล้อมวงเล่น หยิบยื่นตัวต่อให้กัน ช่วยกันต่อก่อเป็นรูปร่างตามจินตนาการ จะช่วยฝึกให้เด็กๆ รู้จักการยอมรับความคิดคนอื่น และช่วยเหลือกันและกันได้ดีค่ะ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
อะไร จะสนุกไปกว่าการเล่นฟุตบอล วิ่งไล่จับกับเพื่อนๆ อีกล่ะคะ การเล่นกีฬาจะทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้จักการแพ้ ชนะ การให้อภัย ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และลูกยังได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ
ถึง แม้จะมีกิจกรรมต่างๆ มากมายเพื่อเสริมทักษะสังคมให้กับลูก แต่ต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่สามารถเป็นเพื่อน หรือเล่นกับทุกคนที่เพิ่งพบเจอค่ะ

เพราะ ฉะนั้น พยายามหลีกเลี่ยงการบังคับเมื่อลูกไม่พร้อม เพราะการเรียนรู้ทักษะทางสังคม การสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต อย่าคาดหวังมากเกินไป ควรใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ทักษะเหล่านี้ก็จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นค่ะ




จาก:นิตยสารรักลูก